สามารถดูรายละเอียดข้อมูลได้ที่ http://www.kodchasri.com/
สามารถอ่านรีวิวเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่ https://th.tripadvisor.com
GET TOGETHER พาชมถนนราชภาคินัย จังหวัดเชียงใหม่
วันศุกร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2559
BODHI SERENE Boutique Hotel
สามารถดูรายละเอียดข้อมูลได้ที่ https://boutique-hotel-chiangmai.com
สามารถดูรีวิวเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่ https://th.tripadvisor.com
SIRILANNA CHIANGMAI HOTEL
สามารถดูรายละเอียดได้ที่นี่ http://www.sirilanna.com/
สามารถอ่านรีวิวเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่ https://th.tripadvisor.com/
สามารถอ่านรีวิวเพื่อประกอบการตัดสินใจได้ที่ https://th.tripadvisor.com/
Tamarind village chiang mai
โรงแรมแทมมารีน วิลเลจ เป็นโรงแรมบูติค ที่มีเสน่ห์ของวัฒนธรรมล้านนา มีการตกแต่งภายในอาคารที่ร่มรื่น แฝงไปด้วยเสน่ห์ของล้านนา ทั้งห้องพัก สถานที่พักผ่อน สิ่งอำนวยความสะดวกเหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบวัฒนธรรมและต้องการชื่ยชมบรรยากาศที่สงบ เรียบง่ายแต่มีเสน่ห์
สามารถดูข้อมูลและรูปภาพบรรยากาศได้ที่นี่ http://www.tamarindvillage.com/th/
ที่มาของข้อมูล: http://www.tamarindvillage.com/th/
วัดล่ามช้าง
สถานที่ตั้ง วัดล่ามช้างตั้งอยู่เลขที่ 32 ถนนมูลเมือง ซอย 7 ตำบลศรีภูมิ อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
ประวัติความเป็นมา
เมื่อ พ.ศ.1835 – 1839 พญามังรายมหาราช กษัตริย์แคว้นล้านนา ได้มาสร้างเมืองเชียงใหม่ ทรงประทับอยู่ ณ เวียงเล็กหรือเวียงเชียงมั่น (วัดเชียงมั่นในปัจจุบัน) เพื่อเตรียมอุปกรณ์การสร้างเมือง
พญามังรายได้ทรงเชิญพญาร่วง หรือ ขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์แคว้นสุโขทัย และ พญางำ-เมือง กษัตริย์แคว้นพะเยา หรือ ภูกามยาม มาร่วมปรึกษาสร้างเมืองด้วย สร้างเสร็จแล้วได้ขนานนามเมืองว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"
ด้านทิศตะวันออกของเวียงเล็ก เป็นป่าไม้มีหนองน้ำใหญ่ ช้างราชพาหนะของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์และของข้าราชบริพาร คงเลี้ยงและล่ามไว้บริเวณนี้ เรียกว่า "เวียงเชียงช้าง" ต่อมาได้สร้างวัดขึ้นที่เวียงเชียงช้าง ณ ที่เลี้ยงและล่ามช้างเพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถาน ขนานนามว่า "วัดล่ามช้าง" และปั้นรูปช้างถูกล่ามเลี้ยงไว้เป็นสัญลักษณ์ของวัด
โบราณวัตถุสถาน
1. วิหาร มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบล้านนาประยุกต์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน สร้างใหม่ ไม่ใช่ของเก่าแก่มาแต่เดิม หน้าบันประดับด้วยลวดลายพรรณพฤกษาสีทองอ่อนช้อยมาก ความพิเศษของพระวิหารวัดล่ามช้างคือมีมุขยื่นออกมาด้านข้างพระวิหาร เพื่อใช้เป็นทางขึ้นลงสำหรับพระสงฆ์ ตามธรรมเนียมล้านนาดั้งเดิมนั้นมักนิยมแยกทางเข้าออกของสงฆ์กับฆราวาสไว้อย่างชัดเจน
2. เจดีย์ มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมย่อเก็จ ที่ฐานมีรูปปั้นช้างประดับอยู่ทั้งสี่ทิศ บริเวณฐานทรงกลมรองรับองค์ระฆังมีปูนปั้นเทพพนมประดับอยู่อย่างสวยงาม ถัดไปเป็นองค์ระฆังประดับด้วยกระจกสีสวยงามจนถึงส่วนปลียอด ฐานประดับด้วยลวดลายกลีบบัว ยอดเจดีย์ยกฉัตรสีทอง
3. ซากเจดีย์โบราณ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ลักษณะเป็นเจดีย์สัณฐานสี่เหลี่ยมมีซุ้มจระนำประดับอยู่ทั้งสี่ด้าน แต่เนื่องจากสวนยอดพังหายไปหมดแล้ว จึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเจดีย์ลักษณะใด
เมื่อ พ.ศ.1835 – 1839 พญามังรายมหาราช กษัตริย์แคว้นล้านนา ได้มาสร้างเมืองเชียงใหม่ ทรงประทับอยู่ ณ เวียงเล็กหรือเวียงเชียงมั่น (วัดเชียงมั่นในปัจจุบัน) เพื่อเตรียมอุปกรณ์การสร้างเมือง
พญามังรายได้ทรงเชิญพญาร่วง หรือ ขุนรามคำแหงมหาราช กษัตริย์แคว้นสุโขทัย และ พญางำ-เมือง กษัตริย์แคว้นพะเยา หรือ ภูกามยาม มาร่วมปรึกษาสร้างเมืองด้วย สร้างเสร็จแล้วได้ขนานนามเมืองว่า "นพบุรีศรีนครพิงค์เชียงใหม่"
ด้านทิศตะวันออกของเวียงเล็ก เป็นป่าไม้มีหนองน้ำใหญ่ ช้างราชพาหนะของกษัตริย์ทั้งสามพระองค์และของข้าราชบริพาร คงเลี้ยงและล่ามไว้บริเวณนี้ เรียกว่า "เวียงเชียงช้าง" ต่อมาได้สร้างวัดขึ้นที่เวียงเชียงช้าง ณ ที่เลี้ยงและล่ามช้างเพื่อให้เป็นอนุสรณ์สถาน ขนานนามว่า "วัดล่ามช้าง" และปั้นรูปช้างถูกล่ามเลี้ยงไว้เป็นสัญลักษณ์ของวัด
โบราณวัตถุสถาน
1. วิหาร มีลักษณะสถาปัตยกรรมแบบล้านนาประยุกต์ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน สร้างใหม่ ไม่ใช่ของเก่าแก่มาแต่เดิม หน้าบันประดับด้วยลวดลายพรรณพฤกษาสีทองอ่อนช้อยมาก ความพิเศษของพระวิหารวัดล่ามช้างคือมีมุขยื่นออกมาด้านข้างพระวิหาร เพื่อใช้เป็นทางขึ้นลงสำหรับพระสงฆ์ ตามธรรมเนียมล้านนาดั้งเดิมนั้นมักนิยมแยกทางเข้าออกของสงฆ์กับฆราวาสไว้อย่างชัดเจน
2. เจดีย์ มีลักษณะเป็นเจดีย์ทรงกลมย่อเก็จ ที่ฐานมีรูปปั้นช้างประดับอยู่ทั้งสี่ทิศ บริเวณฐานทรงกลมรองรับองค์ระฆังมีปูนปั้นเทพพนมประดับอยู่อย่างสวยงาม ถัดไปเป็นองค์ระฆังประดับด้วยกระจกสีสวยงามจนถึงส่วนปลียอด ฐานประดับด้วยลวดลายกลีบบัว ยอดเจดีย์ยกฉัตรสีทอง
3. ซากเจดีย์โบราณ มีสภาพชำรุดทรุดโทรมไปตามกาลเวลา ลักษณะเป็นเจดีย์สัณฐานสี่เหลี่ยมมีซุ้มจระนำประดับอยู่ทั้งสี่ด้าน แต่เนื่องจากสวนยอดพังหายไปหมดแล้ว จึงไม่ทราบแน่ชัดว่าเป็นเจดีย์ลักษณะใด
วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2559
โจ๊กสมเพชร (Jok Som Phet)

เป็นร้านที่ขึ้นชื่อในจังหวัดเชียงใหม่ เรียกได้ว่าเป็นร้านเอาไว้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ซึ่งความโดดเด่นอยู่ที่เป็นร้านอาหารที่เปิดตลอด 24 ชั่วโมงเหมาะกับนักท่องเที่ยวและผู้คนที่เดินทางมาในทุกช่วงเวลา






ขอบคุณรูปภาพจาก http://www.hungryfatguy.com
วัดอุโมงค์มหาเถรจันทร์

วัดอุโมงค์เถรจันทร์ เป็นชื่อเรียกวัดเก่าแก่ที่พระเจ้ากือนา ธรรมิกราชทรงสร้างขึ้น เพื่อถวายพระมหาเถรจันทร์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในพระไตรปิฎกพำนักจำพรรษาในวัดแห่งนี้ ส่วนชื่อที่ 2 คือ “วัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม” เป็นชื่อใหม่ที่ภิกขุปัญญานันทะ ประธานสงฆ์วัดอุโมงค์ ในช่วง พ.ศ. 2492 - พ.ศ. 2509 ตั้งขึ้นเพื่อเรียกสถาปนาป่าผืนใหญ่ที่ปกคลุมวัดร้างโบราณ ซึ่งมีเนื้อที่ประมาณ 150 ไร่ เป็นที่อยู่ของภิกษุสามเณร อุบาสก อุบาสิกา และผู้แสวงหาความสงบ รวมเอาวัดไผ่ 11 กอ (วัดเวฬุกัฏฐาราม) และวัดอีก 4 วัด ที่อยู่ใกล้ ๆเอาไว้ ด้วย ซึ่งก็คืออาณาบริเวณวัดอุโมงค์ที่รู้จักกันทุกวันนี้เอง
ประวัติวัดอุโมงค์ มีหลักฐานทางด้านตำนานไม่ค่อยชัดเจนนัก จึงต้องใช้หลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณคดีในการศึกษาค้นคว้าประวัติศาสตร์วัดอุโมงค์ด้วย ประวัติวัดอุโมงค์ที่จะกล่าวถึงนี้เป็นประวัติตามตำนานปัญหาเถรจันทร์ ซึ่งตามธรรมเนียมไทยในกษัตริย์ไทยสมัยโบราณที่จะขึ้นครองราชสมบัติ จะต้องสร้างบ้านเมือง พระราชวัง รวมทั้งวัดประจำราชการ เพื่อเป็นการแสดงว่ากษัตริย์มีความสนใจด้านการเมือง การปกครอง รวมทั้งทำนุบำรุงศาสนา และมีความสนใจในด้านศาสนา ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ พระเจ้ามังรายมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์มังรายได้ทรงสร้างอาณาจักรล้านนาร่วมกับพระสหาย 2 พระองค์ คือ พระเจ้ารามคำแหงมหาราช เจ้าผู้ครองนครสุโขทัย และพระเจ้างำเมือง เจ้าผู้ครองนครพะเยา มาสร้างเมืองที่เวียงเหล็ก (บริเวณวัดเชียงมั่นในปัจจุบัน) และได้ตั้งนามเมืองใหม่ว่า “เมืองนพบุรี ศรีนครพิงค์ เชียงใหม่” หลังจากที่พระองค์ทรงสร้างเมืองและพระราชวังเสร็จแล้วพระองค์ทรงทำนุบำรุงพุทธศาสนาทรงสร้างวัด เช่น วัดเชียงมั่น วัดเก้าถ้าน และวัดไผ่ 11 กอ (วัดเวฬุกัฎฐาราม) เป็นต้น วัดเวฬุกัฎฐาราม (วัดไผ่ 11กอ) เป็นวัดที่สร้างขึ้นเพื่อให้พระสงฆ์จากลังกามาจำพรรษา และสร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ในการนำพุทธศาสนาจากลังกามาเผยแผ่ในอาณาจักรล้านนาเป็นครั้งแรกด้วย โดยพระองค์โปรดให้พระมหากัสสปะ เป็นผู้วางแผนผังวัดออกเป็นสัดส่วน โดยจัดเป็นเขตพุทธวาส (สถานที่เกี่ยวกับพระพุทธเจ้า เช่น เจดีย์ อุโบสถ) และสังฆาวาส พระเจดีย์ที่สร้างขึ้นในวัดไผ่ 11 กอ เป็นเจดีย์ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะลังกา เป็นเจดีย์ทรงระฆังคว่ำ (มีขนาดเล็กกว่าพระเจดีย์องค์ปัจจุบันในวัดอุโมงค์) เมื่อวัดถูกสร้างเรียบร้อยแล้วพระองค์โปรดให้เฉลิมฉลองและตั้งชื่อว่า วัดเวฬุกัฏฐาราม (วัดไผ่ 11 กอ) และพระองค์ทรงนิมนต์คณะสงฆ์ลังกามาจำพรรษา และเผยแผ่พระพุทธศาสนาในล้านนา พระสงฆ์ในวัดเวฬุกัฏฐารามเป็นที่ศรัทธาและเลื่อมใสของกษัตริย์พระบรมวงศานุวงศ์ รวมทั้งประชาชน เนื่องจากพระสงฆ์จากลังกาที่มาจำพรรษาในวัดนี้มีความรู้ในธรรมวินัยดี มีความสามารถมากในการแสดงธรรม และมีความประพฤติที่เคร่งครัดในระเบียบวินัยมากกว่าพระสงฆ์อื่น ๆ
ปัจจุบันวัดอุโมงค์เถรจันทร์เป็นส่วนหนึ่งของวัดอุโมงค์สวนพุทธธรรม ประชาชนนิยมเรียกสั้น ๆ ว่า วัดอุโมงค์ ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางพุทธศาสนา มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติให้ความสนใจวัดอุโมงค์เป็นอันมาก
ที่มาข้อมูล:http://thai.tourismthailand.org/
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)